ฟิคบารามอส = Alistaria Snow = KxF
หน้าหนาวได้เข้ามาแล้ว...ดอกอาลิสทาเรียในตำนานได้เบ่งบานนำพาความหวานมากับสายลมหนาว.... นำพาความเหงา เข้ามาพร้อมกันสายลมหนาวนั่น.... อัพแล้วนะ ^^ ขอโทษที่ให้รอนาน
ผู้เข้าชมรวม
2,193
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ยังอัพไม่จบนะคะ ฟิคนี้เป็นฟิคแรกที่ยอมให้คาโลคู่กับเฟรินดีๆ แต่ไม่ดีตั้งแต่ต้นจนจบหรอกนะคะ ฮึฮึฮึฮึฮึ [หัวเราะอย่างชั่วร้าย]
=====================================================================
Alistaria Snow
หิมะโปรยปราย
.
วันปีใหม่เริ่มกรายก้าวเข้ามาถึง
ชาวเดมอสเดินกันให้ควัก ทั่วทั้งตลาด ทั้งเมืองหลวง ทุกสถานที่ในดินแดนปัจฉิมนั้นวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คน
ทั้งคน ทั้งปิศาจ ทั้งยักษ์ และอื่นๆอีกมากมายที่คุณสามารถที่จะคิด
ทางเดินอิฐสีน้ำตาลหม่นที่เจนตา บัดนี้ถูกครอบคลุมด้วยสีขาวบริสุทธิ์ หิมะที่ทับถมลงมาเรื่อยๆเริ่มทำให้ผู้คนเดินทางไปมาไม่สะดวก จึ่งได้ทำให้เมืองแห่งนี้วุ่นวาย เต็มไปด้วยเด็กๆมากมายออกมาเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน
แม่ค้าต่างหอบเสื้อกันหนาวผ้าพันคอสวยๆมาขายกันจ้าละหวั่น ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
คู่รักต่างก็พากันจับจูงมือกันไปชมดอกอาลิสทาเรีย ดอกไม้ในตำนานของชาวเดมอส ที่สิบปีบานหนในช่วงหน้าหนาว
ร่างบางมองดอกไม้สีขาวสะพรั่งสลับกับสีชมพูอ่อนๆเหมือนแลดูบอบบางและสวยราวแก้ว ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของพระราชวังหลวงของเดมอสอย่างปวดใจ
.
ปีนี้เขาคงไม่ว่างเช่นเคยสินะ
หญิงสาวผู้เป็นเจ้านางใหญ่แห่งเดมอสตัดพ้อในใจ
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเกือบอำพันฉายแววหมองเศร้า ดวงตาสีสวยถูกเคลือบด้วยคราบน้ำตาราวกับอัญมณีชั้นดี
ร่างอ้อนแอ้นนั่งลงบนโซฟาหนานุ่มกอดตนเองอย่างหว้าเหว่
ช่วยไม่ได้สินะ เธอไม่ได้สำคัญอะไรกับเขานี่ บ้าจริงเชียว น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมา
น้ำตาไม่ได้ร่วมมือกับจิตใจของเธอเลย พาลจะไหลออกมาเป็นสายทางยาวเรื่อยลงมาตามผิวขาวนวลราวไข่มุก
เฟรินปาดน้ำตาแรงๆอย่างจงใจจนกลายเป็นรอยปื้นสีแดงเห็นได้ชัดบนผิวขาว
ทำไมกันนะ ตั้งแต่มีเขา เราถึงได้อ่อนแอขนาดนี้?
ตั้งแต่มีเขาคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิต เธอก็เสียน้ำตา เสียความรู้สึก บาดเจ็บหัวใจมานักต่อนัก ทั้งที่ทรมาน
แต่ทำไมถึงยังรักเขาอยู่นะ?
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูนั้นเรียกให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์
มือเรียวกระชับผ้าคลุมไหล่ผืนบางกับปัดกระโปรงสีขาวยาวพลางลุกขึ้น น้ำเสียงถูกปรับจนกลายเป็นน่าเกรงขาม
"เข้ามาสิ"
สิ้นเสียงก็มีร่างสูงร่างหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง
ใบหน้ากร้านคมคาย หากแต่หล่อเหลาเกลี้ยงเกลาถูกล้อมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม
ผมถูกที่เคยปล่อยเป็นทรงยาวระต้นคอถูกรัดด้วยหนังเส้นบางสีดำ ดวงตาสีฟ้าขี้เล่นสบตามองมาที่หล่อน
ร่างสูงก้มโค้งเคารพตามแบบฉบับราชวงศ์ และลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเผล้
"หวัดดีฮะท่านแม่"
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวหายตึงหน้าขึ้นมากยิ้มกวนๆรับเหมือนกัน
ก่อนจะทรุดตัวลงข้างหน้าต่างอีกครั้ง ไม่สนใจลูกชายที่ก้าวเข้ามายืนข้างๆบ้างเลย
"อืม..มาทำไมล่ะเฟรอส"
"แหม มาเยี่ยมท่านแม่บ้างไม่ได้เหรอฮะ" ชายหนุ่มยิ้มกวนๆ
ลากเก้าอี้นวมตัวใหญ่มานั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้แลดูเด็กคราวลูกเขา หญิงสาวไม่ได้แก่ลงเลยแม้แต่น้อย
"อาเมส ล่ะไม่ได้พามาด้วยเหรอ" เฟรินถาม แต่หน้ายังไม่ได้ละสายตาจากดอกไม้สีสวยที่อยู่นอกหน้าต่าง
เฟรอสนิ่วหน้าเมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยถึง อาเมอรัลต์ ผู้เป็นภรรยาของเขา และควีนแห่งเวนอล
เมื่อเห็นลูกชายเงียบ เฟรินจึงถอนหายอีกรอบ..อีหรอบเดิมอีกแล้ว
"ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ แกแอบไปเจ้าชู้อีกล่ะสิ"
"แหะๆ ท่านแม่ก็ มันก็ต้องมีบ้างนั่นแหละ แต่คราวนี้ผมไม่ได้ถูกจับได้นะฮะ คราวนี้เรื่องอะเมทิสต์กับโอปอล"
"อ้อ พูดถึงเมทิสกับโอปอล ไม่ได้เห็นซะนาน โตหรือยังล่ะ"
คราวนี้ เรื่องก็ถูกลากมาถึงหลานของฝาแฝดหล่อน อะเมทิสต์กับโอปอล
เฟรอสถอนหายใจ
"ก็แค่เรื่องเอดินเบิร์กน่ะท่านแม่ ว่าแต่ท่านแม่เป็นอะไรล่ะฮะ ทำไมซึมๆ"
ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย เพราะเฟรินก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว
อาจจะเป็นเพราะเฟรอสห่างหายจากหล่อนไปเกือบสองปีนั่นเอง ถึงได้ไม่รู้เรื่องเลย
"ก็พ่อแกน่ะสิ" พูดแล้วยังอดน้อยใจไม่ได้
"ฝ่าบาท? ทำไมเหรอฮะ"
สรรพนามที่ใช้แตกต่างกันชี้ถึงความห่างเหินของครอบครัวนี้
ความจริงหากไม่ติดอยู่ว่าท่านแม่ของเขาพ่วงตำแหน่งว่า 'ควีนแห่งเดมอส' อยู่ เขาคงได้เรียกท่านแม่ว่า มี้ เฉยๆอย่างที่เด็กคนอื่นเรียกกันแล้ว
ส่วนผู้เป็นพ่อของเขา เขาเรียกว่า 'เสด็จพ่อ' หรือไม่ก็ 'ฝ่าบาท' มาตลอดตั้งแต่จำความได้
"อาทิตย์หน้าครบรอบวันแต่งงานของท่านแม่กับฝ่าบาทแล้วสินะฮะ"
"ใช่ ดูสิ แม้แต่ตัวมันเองยังจำไม่ได้....มันเอาแต่โหมงานจนไม่สนใจคนรอบข้างเอาเลย.... ดูสิลูกยังจำได้เลย
ฮึก....ไอ้น้ำแข็งซังกะบ๊วย!" ร่างบางกลั้นสะเอื้อน
ระบายสิ่งที่อึดอัดในใจออกมาจนเสียเกือบหมด
หล่อนไม่ควรจะมาอ่อนแอต่อหน้าลูกชายอย่างนี้
ความจริงหล่อนน่าจะชินได้แล้ว ตลอดห้าปีมานี้ เขาได้ลืมวันสำคัญนี้มาตลอด
ไม่ใช่แค่นั้น
เขายังลืมวันเกิดตัวเอง
วันเกิดหล่อน
แม้แต่วันเกิดลูกก็ตาม
"แล้วท่านพี่เฟลีเซียได้มาเยี่ยมท่านแม่บ้างหรือยังฮะ"
หญิงสาวส่ายหัว
"เขามาเยี่ยมครั้งสุดท้ายครึ่งปีก่อน ตอนวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของฉัน"
"แล้วท่านพี่โฮเรส? น้องคาไลล่า?"
"โฮเรสเพิ่งกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแกมา คาไลล่ามาเยี่ยมเมื่อเดือนก่อน"
"ฝ่าบาทล่ะฮะ"
เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่ต้องการได้ยินที่สุดตอนนี้
ร่างบางเบือนหน้าหนีจากลูกชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น มือกำผ้าคลุมไล่ผืนบางแน่นจนเล็บยาวจิกเข้าไปในเนื้อผ้า
"แกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว พ่อแก ฉันจะรู้เหรอ"
สิ้นคำขาด เฟรอสจึงลูกขึ้น ก้มโค้งเคารพร่างบางที่เบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างปวดร้าว
ท่านแม่หว้าเหว่จริงๆ
ประตูถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้ร่างบางนั่งสะอื้นอยู่ข้างหน้าต่างและดอกไม้แห่งความรักในตำนานที่ไม่มีจริงอยู่เพียงผู้เดียว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
มือกร้านเคาะลงเบาๆที่ประตูไม้โอ๊คพันปีบานใหญ่ที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า
สีหน้าเจ็บปวดถูกกลบเกลื่อนจนหมด เปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉย
เย็นชาจนแทบไม่เชื่อว่าเป็นชายหนุ่มกวนๆเมื่อครู่นี้เลย
เขายืนรออยู่ชั่วครู่ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกเปิดขึ้นเอง เขาจึงค่อยๆก้าวเข้าไป
ห้องนี้ถูกแต่งอย่างสวยหรูเต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษและเอกสาร
ผิดกับห้องโปร่งๆสีขาวสบายตา มีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆของท่านแม่ของเขาสิ้นอย่างสิ้นเชิง
ผ้าม่านกำมะหยี่ทึบบดบังแสงอาทิตย์เสียจนหมดสิ้น แสงเดียวในห้องคือเตาผิงที่ยังลุกโฉนอยู่ใกล้กับโต๊ะทำงานตัวใหญ่
"มีอะไร"
ร่างสูงของเฟรอสก้มลงคุกเข่าต่ำ ทำความเคารพ แต่ผิดกับของท่านแม่ของเขามาก
ก่อนที่จะลุกขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีเดียวกันนัยน์ตาหนึ่งเรียบเฉย นัยน์ตาหนึ่งเย็นชาราวเยือกน้ำแข็ง
เฟรอสพิจรนาใบหน้าของผู้เป็นพ่ออย่างพินิจอีกครั้ง พ่อของเขาไม่ได้ต่างอะไรจากตอนหนุ่มๆเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้ายังคงรักษาความคมคายหล่อเหลาราวรูปสลักและอ่อนเยาว์อย่างเหนียวแน่น
ผิวยังคงขาวราวหิมะยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ผมสีเงินยวงถูกปล่อยปละละเลยจนยาวเป็นทรงเดียวกับเขาเสียแล้ว
"แค่มาถวายความเคารพพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" ว่าแล้วก็ก้มหัวอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง
คาโลผายมือน้อยๆไปทางเก้าอี้ข้างเตาผิงที่มีอยู่สองตัว
"นั่งก่อนสิ"
"ขอบพระทัยกระหม่อม"
ร่างสูงทั้งสองทรุดตัวลงบนโซฟาคนละด้าน คาโลชี้นิ้วไปที่กาน้ำกลางโต๊ะ ควันค่อยๆฉุยขึ้น ก่อนที่กาน้ำจะลอยขึ้นมารินน้ำชาร้อนๆลงใบแก้วเปล่าสองใบ
ความเงียบเข้าครอบคลุมห้อง
เฟรอสทนไม่ไหว จึงได้พูดขึ้นมาก่อน
"ฝ่าบาททรงเสด็จไปหาท่านแม่หรือยังกระหม่อม"
"ไปมาแล้ว" คำตอบยังคงสั้น ได้ใจความเช่นเคย
ไปมาแล้ว
แปลว่าไม่ได้เจอกันทุกวันสินะ
และแล้วความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง
"ฝ่าบาทได้เสด็จออกไปทอดพระเนตรดอกอาลิสทาเรียหรือยังกระหม่อม ปีนี้งามยิ่งนัก"
"ยังเลย" และแล้วก็ตอบสั้นห้วน กระชับ ได้ใจความอีกครั้ง จนเฟรอสแอบถอนหายใจ พ่อของเขาจะพูดวันหนึ่งได้กี่คำเนี่ย
"ท่านพี่โฮเรสได้เสด็จมาหาบ้างหรือเปล่ากระหม่อม"
"ไม่ได้มานี่" อ้าว? ชาวหนุ่มเลิกคิ้ว
"แล้วน้องคาไลล่าล่ะกระหม่อม"
"ก็ไม่ได้มา" ทำไมกันนะ
.เฟรอสคิดอย่างประหลาดใจ แต่แล้วก็ลองครั้งสุดท้ายเพื่อความแน่ใจ
"แล้วท่านพี่เฟลีเซียล่ะกระหม่อม"
"ไม่ได้มา"
ได้ยินเท่านี้เฟรอสก็สรุปได้ง่ายๆในใจ แต่ก็อดรู้สึกขมขื่นในใจแทนท่านแม่ของเขาไม่ได้
พ่อของเขาลืมแม้กระทั่งวันเกดของภรรยาตัวเอง
เมื่อเห็นลูกชายเงียบ คาโลจึงพูดขึ้นมาบ้าง
"แล้วหลานอะเมทิสต์และอาเมอรัสต์ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง"
"สบายดีทั้งคู่พะย่ะค่ะ" คาโลพยักหน้ารับรู้ง่ายๆ
"เป็นยังไงบ้างน่ะเรา เล่าเรื่องของเราให้พ่อฟังบ้างได้ไหม พ่อไม่ได้มีใครมาหานานมากเหลือเกิน"
วูบหนึ่ง วูบหนึ่งเท่านั้น ที่เฟรอสรู้สึกเหมือนเห็นสายตาแบบเดียวกับท่านแม่ที่ฉายในประกายดวงตาสีฟ้าใสของพ่อเขา
แค่วูบเดียวเท่านั้นแหละ
แต่นั่นก็พอที่จะทำให้เฟรอสยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง
"ได้สิกระหม่อม"
และแล้ว นั่นก็เป็นการจับเข่าคุยกันครั้งแรกของพ่อลูกคู่นี้ ตั้งแต่ตอนเฟรอสย่างเข้าสู้เอดินเบิร์ก
และคืนนั้น
คืนที่เฟรอสกลับสู่เวนอล เขาก็พาความคิดอะไรกลับไปด้วย
ณ วังหลวงแห่งเวนอล
ร่างอรชรในชุดนอนตัวบางพลิ้วสีขาวนวลตาเดินมาข้างหลังร่างสูงของผู้เป็นสามี
แขนเรียวนวลเนียนค่อยๆเอื้อมไปโอมรอบคอแกร่งกร้าน ใบหน้าซบลบบนหลังแข็งแกร่ง
"เป็นอะไรเหรอรอส หน้าเครียดเชียว"
ใบหน้าหวานถูกล้มรอบด้วยลอนผมสีน้ำตาลเข้มจัด ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววห่วงใย
อาเมอรัลต์เดินอ้อมมาด้านหน้าเขา นิ้วเรียวคลึงตรงหน้าผากที่มีรอยหยักของคิ้วเบาๆ
"มีอะไรก็บอกอาเมสได้นะ รอสบอกมา อาเมสช่วยเต็มที่เลย!"
ไม่พอยังทำท่าประกอบถลกแขนเสื้อยาวขึ้นและทำท่าเบ่งกล้าม ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีกล้ามให้เห็นอยู่แล้ว
เฟรอสยิ้มบางๆ จูบตรงขมับของภรรยาเบาๆ
"ท่านแม่ของรอสกำลังแย่น่ะอาเมส รอสเลยตั้งใจจะช่วย"
เมื่อได้ยินคำว่าท่านแม่ อาเมอรัลต์จึงนึกถึงผู้เป็นอาของหล่อนทันที
อาเฟรินเป็นเพื่อนสนิทของทั้งพ่อทั้งแม่ของหล่อน เป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพ่อของหล่อนมาแล้ว
"อาเฟรินเป็นอะไรเหรอรอส อาเมสไม่ได้หาตั้งนาน เป็นยังไงบ้างนะ"
แต่แค่เห็นสีหน้าของเฟรอส หญิงสาวก็พอเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
จึงได้ฉุกคิดขึ้นมาเรื่องหนึ่ง จึงได้รีบแจ้นไปนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม
"เอ่อ รอส อาเมสได้ข่าวมานะ ว่าทางเดมอสถูกทางไนล์กับซาเรสร่วมมือกันคุกคามเข้า ได้ยินมาว่าถูกรวบเอาพื้นที่ตรงเขตสโนว์แลนด์ไปหมดเลยนี่"
ความจริงคำว่า 'ได้ข่าว' ของภรรยาเขานั้นเชื่อถือได้มากที่สุด
สายข่าวของอาเมอรัลต์นั้นขึ้นชื่อว่ามีฝีมือที่สุดในเอเดนแล้ว
ไม่น่าล่ะ ท่านพ่อถึงได้โหมงานขาดนั้น ว่าแต่ท่านแม่รู้หรือเปล่านะ?
เพราะเท่าที่ฟังท่านพ่อพูดมา ท่านทำทุกอย่างคนเดียวมาตลอด หากท่านแม่รู้เรื่องนี้ ท่านไม่อยู่เฉยแน่
.
"อาเฟรินกำลังเหมือนไข่ในหินนะ รอส" หญิงสาวไขข้อคิดของสามี "อาคาโลไม่ต้องการให้อาเฟรินได้รับอันตราย หรือได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้อาเฟรินเหมือนถูกคลุกด้วยสายใยแก้ว ไม่ให้ต้องลมและแดด"
หญิงสาวเผยยิ้มอย่างอ่อนโยน
"อาคาโลนั้นรักอาเฟรินมาก เชื่ออาเมสสิรอส สายตาของอาคาโลแม้เมื่อสองปีที่แล้วไม่ได้โกหกเลย อาคาโลรักอาเฟรินมาก รักมาก และไม่มีวันเสื่อมคลายด้วย รอสอย่าคิดมากนะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟรอสถึงได้ยิ้มออก รวบร่างบางเข้ามากอดอย่างหวงแหน
"ขอบคุณนะ รอสก็จะรักอาเมสไปตลอดจนสิ้นลมหายใจเหมือนกัน รอสรักอาเมสที่สุดเลย"
สิ้นคำ ร่างบางก็ตีเพี๊ยะลงบนลำแขนแข็งแกร่งแรงๆ
"แน้ กะล่อนนะ ปากหวานเชียว พูดอย่างนี้กับแม่กระสือสาวในผับในบาร์ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย"
เฟรอสตีหน้าเบ้ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ
"แหม อาเมสก็รู้นี่ ว่ารอสจริงใจกับอาเมสคนเดียว"
"คิกๆ ขอให้จริงเถอะพ่อคนเจ้าชู้!"
"งั้นรอสแสดงให้รู้เลยดีไหมล่ะ"
ว่าจบก็รวบตัวร่างเล็กตรงไปที่เตียงทันที และแสดงให้เห็นว่าเขาจะรักหล่อนตลอดไป จนกว่าความตายจะพรากพวกเขาจากกัน
ชายหนุ่มได้แต่หวังว่า จดหมายที่ส่งไปทางพิราบ จะถึงมือคนที่เขาส่งไปหาให้เร็วที่สุด
'เรียกรวมตัวครอบครัววาเนบลี'
จดหมายเนื้อความสั้นๆเป็นลายมือตวัดงดงามอยู่ในมือเรียวของหญิงสาวพี่คนโตของบ้านวาเนบลี
ร่างบางก้าวยาวๆผ่านห้องโถงของพระราชวังโอ่อ่า ผ่านรูปปั้น พรม ศิลปะงดงามของเจมิไนผ่านไปที่ห้องทำงานของกษัตริย์ที่อยู่ปีกฝั่งตะวันออกของวังหลวง
มือนวลเคาะรัวและแรงลงบนประตูไม้สนบานใหญ่
ไม่ทันรอให้คนข้างในตอบรับ เธอก็ดันประตูเข้าไปเต็มแรง
"ราเวส!"
เสียงใสๆตะโกนเรียกชื่อ ทำให้ร่างสูงที่อยู่ชั้นบนของห้องทำงานหันหน้าจากกำแพงหนังสือขนาดใหญ่ลงมามองร่างบางที่ตะโกนอยู่เบื้องล่าง
เรือนผมสีเงินยาวประบ่ายุ่งเหยิง แสดงถึงว่าเพิ่งดึงตัวออกมาจากที่นอน
แต่ดวงตาสีฟ้าใสฟ้องว่าตื่นดีแล้ว ร่างบางในชุดนอนยืนเท้าใส่เอวอยู่เบื้องล่าง เป็นภาพที่น่าขันนัก
"อะไรเหรอเฟลีเซีย" ร่างสูงค่อยๆลงบันไดลงมา ผมยาวสีทองถูกถักเป็นเปียทิ้งตัวตามหลังลงมาด้วย
ดวงตาสีฟ้าทั้งสองเฉดสบตากันนิ่งๆ
"เรื่องด่วนสินะ" ราเวสหัวเราะเบาๆ "เอามังกรน้ำไปสิ"
"ขอบคุณ" เฟลีเซียเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มสามีเบาๆก่อนที่จะรีบร้อนรุดออกจากห้องไปทันที
ทิ้งให้ร่างสูงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เบื้องหลัง
ก็มีบ่อยหรือที่นักเลงเก่าของเอดินเบิร์กจะทำตัวน่ารักๆอย่างนี้ได้สักที!
ร่างบางรีบวิ่งปัดพวกองครักษ์ทั้งหลายที่โผล่มาขวางทาง
เธอรีบวิ่งไปสวมเสื้อคลุมตัวสั้นสีฟ้าอ่อนลงบนชุดนอนกระโปรงสั้นสายเดี่ยวสีเลือดหมู
เท่านี้ก็เหมือนเธอแต่งตัวตามแฟชั่นธรรมดาเรียบร้อยแล้ว
ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร เธอรีบกระโดดไปกระโดดมาขึ้นคร่อมมังกรน้ำตัวโตอย่างชำนาญ
แสดงให้เห็นว่าท่าทางจะใช้หนีบ่อย และออกทะยานสู่จุดหมายต่อไปทันที
ขณะเดียวกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่กลางไนล์
"น้าๆๆๆๆ คริสต์ ฉันต้องไปจริงๆ" เสียงใสเจื้อยแจ้วตามทางเดินยาวๆในสวนสวย
"อะไรนักหนาล่ะคาไลน์ บอกว่ายังไม่ว่างก็ยังไม่ว่างสิ" ร่างสูงที่นั่งดื่มชาอ่านหนังสืออยู่ในศาลากลางน้ำกล่าว
"นี่น่ะนะไม่ว่าง?" เสียงใสเริ่มห้วน
มือเรียวเริ่มกอดอกอย่างไซส์จัด ดวงตาสีดำขลับค้อนผู้เป็นสามีวงโตๆ
ริมฝีปากบางเข้ากับใบหน้ารูปหัวใจเชิดขึ้นเล็กน้อย มือทึ้งผมสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มอย่างเหลืออด
"ฉันก็บอกแล้วไงว่าด่วนจริงๆ ท่านพี่รอสเขาเขียนจดหมายมาเชียวนะ"
"แล้วไงล่ะ" เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ตัวเองเป็นเกาเหลาด้วย ยิ่งทำให้ร่างสูงไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่
นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มมองร่างบางเบื้องหน้าด้วยสายตาเยาะๆ
"จะไปทั้งชุดนี้เนี่ยนะ"
คำพูดนั้นทำให้คาไลล่าก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง
ผมยาวสีน้ำตาลทองถูกรวบไว้ง่ายๆเป็นมวย ยังพอดูได้ แต่ชุดนี่สิ! เสื้อตัวโคร่งของคริสโตเฟอร์สามีของเธอที่คลุมตัวเธอเกือบถึงเข่า
ส่วนที่รับไม่ได้จริงๆคือ เธอไม่ได้ใส่กางเกง! เพราะแค่เสื้อก็เหมือนกระโปรงของเธอแล้วน่ะสิ และอีกอย่างเอก็เพิ่งตื่นนอนเมื่อครู่นี้เอง
"ตาบ้า" คาไลล่ารีบรุดเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่
ร่างบางเดินเร็วๆผ่านทางเดินลาดยาวถูกปลูด้วยผมสีแดงเลือดหมู
ผ่านประตูโอ่อ่าหลายบาน ผ่านภาพวาดของพ่อแม่ของคริสโตเฟอร์
แองเจลีน่า โรมานอฟ ทันเดอร์ กับ ครี้ด ทันเดอร์
ผ่านของตกแต่งอีกมากมาย จนมาถึงห้องตรงปลายสุดของทางเดิน เธอรีบเปิดประตุเข้าไปแล้วหยิบเสื้อในตู้หลังใหญ่ออกมาเปลี่ยนชุด
"หึ" หญิงสาวชะโงกหน้าออกไปมองร่างสูงที่ยังคงจิบชาอยู่ในสวนอย่างสบายอารมณ์
ดวงตาสีดำขลับที่เคยออดอ้อน บัดนี้กลายเป็นเจ้าเล่ห์ เธอเผยรอยยิ้มบางๆ
รวบเอาผ้าปูที่นอนสีขาวบางมาฉีกเป็นเส้นใหญ่ๆ และมัดปมแน่นๆแต่กันหลายๆชิ้นจนกลายเป็นเชือกแข็งแรงทนทาน
เธอเหลือบตามองด้านนอกอีกครั้ง เมื่อเห็นคริสโตเฟอร์ยังคงง่วนอยู่กับแก้วชาและหนังสืออยู่
หล่อนจึงค่อยๆหย่อนเชือกเส้นยาวลงจากหน้าต่างและค่อยๆโหนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว
วิ่งเร็วๆไปที่คอกม้าและขี่อาชาสีดำตัวเก่งมุ่งหน้าสู่เวนอลทันที!
ทิ้งให้แม่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ยืนอ้าปากค้างนิ่งอยู่ ช๊อคค้างจนพูดอะไรไม่ออกมันคงไม่มีอะไรแปลกหรอกนะ ถ้าเธอหย่อนตัวลงมาจากชั้นหนึ่ง แต่นี่เล่นชั้นสี่!
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของซาเรส
"โชคดีนะคะเจ้าพี่" ร่างบางเขย่งตัวขึ้นห้อมแก้มสากเบาๆ พร้อมกับยื่นกล่องข้าวในห่อผ้าสีขาวให้ร่างสูงที่กำลังจะขึ้นมังกรดำตรงหน้าบ้าน
"เดี๋ยวพี่กลับมานะรีนา คงอีกสักสองอาทิตย์"
โฮเรสรับห่อผ้ามาไว้ในมือ มองร่างบางในชุดผ้ากันเปื้อนที่ตื่นขึ้นมาทำกล่องข้าวให้เขาแต่เช้าตรู่
เรือนผมสีม่วงเข้มยังคงยุ่งอยู่เลย หน้าตายังคงงัวเงียเหมือนเมาขี้ตา แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจมาส่งเขา
"งั้นเดี๋ยวพี่ไปแล้วนะ"ว่าแล้วก็รีบกระโดดขึ้นมังกรดำ
"ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะเจ้าพี่"
รีนาเรียโบกมือน้อยๆมองร่างสูงโปร่งขี่มังกรไปลับตาอย่างเป็นห่วง เป็นห่วงทั้งสามี ทั้งอาของเธอเลยล่ะ
อาเฟรินจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
คิดแล้วก็กลับเข้าไปในห้อง อุ้มเด็กน้อยที่ร้องไห้งอแงอยู่ขึ้นมาแนบอก มองร่างที่หายจากไปจนมองไม่เห็นแล้วด้วยสายตาว่างเปล่า
ร่างบางของเจ้านางใหญ่ของเดมอสนั่งนิ่งเงียบบนเก้าอี้สีขาวตัวใหญ่ในสวนดอกไม้นานาพันธุ์
เธอมองดอกไม้สีสันสดสวยทั้งหลายอย่างนิ่งเงียบ
จะเรียกว่าอะไรดีนะ
เฟรินแค่นหัวเราะให้กับตัวเอง คนเรียกว่าเศร้าจนด้านชาแล้วกระมัง
"ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารบ้างเถิดเพคะ"
เสียงอ่อนแรงของนางกำนัลสหายสนิทเพียงคนเดียวของเฟรินที่รับใช้มาตั้งแต่เรียนจบเอดินเบิร์กกล่าวเนือยๆ
ปีนี้เฟเซียก็อายุเกือบ 85 แล้ว ตามอายุขัยของมนุษย์ธรรมดานั้น ถือว่าอายุยืนยาวมากนักแล้ว
แต่เจ้านางใหญ่แห่งเดมอสก็ยังดื้อดึงเหมือนเด็กเล็กๆ หากแต่เปลี่ยนจากวุ่นวาย เป็นดื้อเงียบ
ความจริงแล้วหากเธอเลือกได้ เธอเลือกที่จะเจอความวุ่นวายและสดสายจากเฟรินมากกว่าความเงียบและเฉยชานี้
เจ้าชายคาโล ไม่สิ ฝ่าบาทก็ทรงพระทัยร้ายนัก ทรงโหมงานไม่คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังพระองค์เลย ไม่คำนึงว่าเขาจะเป็นห่วง กินไม่ได้ นอนไม่หลับขนาดไหน
แต่แล้วเฟเซียก็ต้องผงะ เมื่ออยู่ดีๆร่างบางก็เหยียดตัวตรงขึ้น ทำท่าจะเดินออกไปตรงสวนสมเด็จ
พอหล่อนทำท่าจะลุกตาม นัยน์ตาสีน้ำตาลก็ตวัดกลับมา
"ขอร้องล่ะพี่เฟเซีย ฉันขออยู่คนเดียวหน่อยนะ"
"เพคะ" เธอจึงได้แต่จำใจ ก้มหัวทำความเคารพและถอยชากออกไป
คนทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ากิริยาทั้งหมดต่างอยู่ในสายตาของร่างสูงที่อยู่บนห้องทำงานชั้นสาม
นัยน์ตาสีฟ้าสดสวยมองลงมาอย่างเจ็บช้ำ
ความจริงหัวใจอย่างจะก้าวลงไป รวบตัวเธอลงมากอดให้หายคิดถึง และพร่ำบอกเธอว่าเขารักเธอมากแค่ไหน
แต่ร่างกายกับทรยศหัวใจอย่างประหลาด
"ฉันขอโทษ
เฟริน"
===============
"หา! ฝ่าบาทลืมวันเกิดของท่านแม่เหรอ?"
"ไม่จริงหรอกรอส พ่อรักแม่จะตาย"
"แล้วท่านพี่มาหาท่านแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ล่ะ มาตอนอาทิตย์ก่อนวันเกิดท่านแม่ และกลับเช้าวันเกิดของท่านแม่พอดี จะรู้อะไรเล่า"
เฟรอสสวนเฟลีเซียเสียงเขียว
ห้องรับแขกของพระราชวังเวนอลกลายเป็นที่ต้องรับอาคันตุกะมากมาย ทั้ง เจ้าหญิง เฟลีเซีย วาเนบลี ปัจจุบัน ราชินีแห่งเจมิไน ซึ่งตอนนี้กำลังเถียงหน้าดำหน้าแดงอยู่กับเฟรอส
โดยที่มี เจ้าหญิง คาไลล่า วาเนบลี ปัจจุบันท่านหญิงแห่งไนล์เป็นกรรมการ
และมีเจ้าชาย โฮเรส วาเนบลี ปัจจุบันเคานท์แห่งซาเรส เป็นผู้ชมกิติมาศักดิ์
"แล้วที่นายเรียกพวกเรามา ต้องการจะทำอะไรกันแน่"
โฮเรสกล่าวเย็นๆ เส้นอารมณ์ใกล้ขาดพึง เขาต้องลากตัวเองออกมาจากที่นอน จากภรรยาที่รัก เพื่อมาดูน้องสองคนทะเลาะกันเนี่ยนะ!
"ใช่ ถ้าท่านพี่รอสกับท่านพี่เฟลีเซียเอาแต่ทะเลาะกัน เรื่องท่านแม่ของพวกเราจะไปถึงไหนได้ล่ะคะ"
น้องเล็กของตระกูลวาเนบลีกล่าวเสริมพี่ใหญ่ ทำให้พี่คนรองทั้งสองคนต้องชะงัก นั่งลงตามเดิม
ความเงียบเข้าครอบคลุมชั่วครู่
ก่อนที่พี่สาวคนโตจะคิดอะไรออก
"นี่ พี่มีแผนล่ะ แต่เราต้องช่วยกัน"
"ร่วมมือกับท่านพี่เนี่ยนะ? ตายชัดๆ"
"รอส! สงบศึกชั่วคราวเข้าใจไหม" เฟลีเซียแหวเสียงเขียว "ฉันยังอยากมีพ่อแม่ที่ยังเป็นคู่กันอยู่ ไม่อยากมีพ่อแม่ที่บาดหมางกัน เข้าใจไหม หวังว่าทุกคนคนคิดอย่างเดียวกับฉัน"
"ใช่ค่ะ ท่านพี่เฟลีเซียคิดอะไรออกล่ะคะ"
"อย่าให้เป็นแผนบ้าๆแล้วกัน"
"เฟรอส วาเนบลี เดอะ คิง ออฟ เวนอล!"
พี่น้องามศรีหันมาพร้อมใจเรียกทั้งชื่อและยศของเจ้าคนพูดมากอย่างเหลืออด
เฟรอสตีหน้าเบ้ ก็ก็เข้ามาร่วมวงฟังแผนการของนักวางแผนและนักเลงเก่าแห่งเอดินเบิร์กอย่างปลงๆ
ได้แต่ภาวนา ไม่ให้แผนนั้นเป็นแผนแปลกวิปลาส มากมายอะไรก็แล้วกัน
เพราะเขาไม่ต้องการให้แม่เขาชักดาบผ่าปฐพีออกมาไล่ฟันหัวเขา!
================
"ฝ่าบาทเพคะ พระนางน้อยเสด็จมาหาเพคะ" เฟเซียกล่าว มองร่างบางที่ยังคงอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่เช่นเคย
"คาไลล่างั้นหรือ?" หญิงสาวพึมพำเบาๆ "บอกให้เขาเข้ามาเลย"
เธอวาอย่างเหม่อลอย มองอาลิสทาเรียสีขาวสวยที่บานเป็นช่อๆอยู่นอกหน้าต่าง
กึก! คาไลล่าก้าวเข้ามาในห้องช้าๆด้วยท่าทีหวาดๆ
ก่อนที่จะถลาเข้าไปกอดเฟรินที่เพิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ทั้งตัวจนเฟรินเกือบล้ม
หญิงสาวลูบหัวพระธิดาเบาๆเมื่อรู้สึกถึงความสั่นเทา จูงลูกมานั่งบนเตียงข้างๆเธอ มือยังคงลูบศีรษะลูกสาวอย่างปลอบประโลม
เสียงที่เอื้อนเอ่ยเหมือนสายลมโอมอุ้ม
"มีอะไรงั้นหรือคาไลน์ ถ้าเป็นอะไรที่แม่ช่วยได้ หรืออย่างน้อยช่วยลูกแบ่งเบาความเศร้าได้สักนิดก็บอกมาเถอะ"
ว่าแล้วก็หันไปพยักหน้าให้เฟเซีย ให้เฟเซียเขนโต๊ะน้ำชาเข้ามาใกล้ๆ
"ท่านแม่เพคะ ลูกกลัวเหลือเกิน"
คาไลล่าช้อนดวงตาสำดำขลับเปื้อนไปด้วยน้ำตาขึ้นสบตาผู้เป็นแม่
"เรื่องอะไรน่ะหืม? เรื่องคริสโตเฟอร์หรือ?"
"เปล่าเพคะท่านแม่" คาไลล่าส่ายหน้าเบาๆ "ก็พวกท่านพี่น่ะสิเพคะ"
คิ้วเรียวสวยขมวดลงอีกครั้ง
"เฟรอสกับเฟลีเซียเขาก็ทะเลาะกันประจำอยู่แล้วนี่ ลูกจะเอาอะไรอีก"
แค่นั้นแหละ ร่างเล็กของลุกสาวก็สะอื้นตัวโยน
น้ำตาไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดจะเฟรินทำอะไรไม่ถูก ได้แต่รับผ้าเช็ดหน้ามาจากเฟเซียและซับน้ำตาให้คาไลล่าเท่านั้น
"ไหนเล่ามาให้แม่ฟังหน่อยสิ"
"พวกพี่ท่านพี่น่ะสิคะท่านแม่..ฮึก
ท่านพี่เฟลีเซียต้องการจะยึดครองพื้นที่ส่วนคาโนวาลของเดมอส ที่เป็นของท่านพี่โฮเรส ท่านพี่ทั้งสองเลยทำสงครามกันอยู่กลางเมืองเพคะ
ฮึก
ผู้คนล้มตายมากมายเหลือเกิน
ท่านพี่เฟรอสก็กระโดดเข้ามาร่วมด้วย ท่านพี่ต้องการพื้นที่ตรงนั้นสำหรับเวนอลเพคะ
.ลูกกลัวเหลือเกินเพคะ ลูกกลัวจะสูญเสียท่านพี่ไปเพคะ
.ฮึก"
หญิงสาวเล่าเรื่องช้าๆ ประกอบด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาราวเขื่อนแตก ต่างจากสภาพของเฟรินตอนนี้ ที่เรียกได้ว่าช็อคสุดขีด
"อะไรนะ!!!!!" แต่แล้วก็ถอนหายใจเบาๆเหมือนตั้งสติ "คาไลล่า คาโลมันรู้เรื่องนี้หรือยัง"
คาไลล่าส่ายหน้า "ไม่หรอกเพคะ ลูกตรงมาหาท่านแม่ทันทีเพคะ"
"อืม" เฟรินเกาคาง ลุกขึ้นจากบนเตียงอ้อมไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่กลางห้อง
มือหยิบกระดาษโน่นนี่ แลดูวุ่นวายไปหมด ปากก็สั่งเฟเซีย
"เฟเซีย ไปเตรียมมังกรดำให้ฉันที แล้วไปเรียกทหารส่วนของฉันมาให้หมด มุ่งไปเดมอสตรงส่วนคาโนวาลให้เร็วที่สุด!"
เฟรินพูดรัวเร็ว เสียงเรียบจนเกือบเย็นชา คาไลล่ามองผู้เป็นแม่อย่างเป็นห่วง
"ท่านแม่เพคะ
"
"ลูกอยู่เฉยๆเถอะคาไลน์ พวกพี่ของลูกนี่สิ โตแล้วคิดเหลิงงั้นหรือ เจอกันเมื่อไหร่แม่ด่าเรียบแน่"
มือเรียวม้วนกระดาษแผ่นยาวใหญ่ใส่ไว้ในมือ วิ่งเยาะๆเข้าไปในตู้เสื้อผ้า สักพักก็กลับมาด้วยชุดกางเกงผู้ชาย
"ลูกรอที่นี่เถอะคาไลน์ ใช้ห้องแม่ไปก่อนก็ได้ แต่ห้ามให้คาโลมันรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย"
เมื่อเห็นลูกสาวพยักหน้าเข้าใจ เฟรินก็รีบรุดออกจากห้องไปทันที
ท่านแม่ผู้น่าสงสาร หญิงสาวคิด แม้แต่การเอ่ยชื่อฝ่าบาทก็สามารถกัดกินของใจของท่านได้มากเพียงนี้เชียวหรือ
แต่แล้วก็อดคิดเป็นห่วงผู้เป็นพี่ทั้งสามของตน
ท่านพี่ ขอให้ท่านพี่ทุกคนโชคดีกับการหนีดาบผ่าปฐพีนะคะ
"แม่คะ พ่อคะ"
รีนาเรียหรี่เข้าไปในห้องโถงของคฤหาสน์ใหญ่ของซาเรสทันทีที่ได้ยินเสียงย่ำหนักๆของฝีเท้ามังกร
ร่างบางวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่สองเท้าจะพาไปได้ มืออุ้มทารกน้อยไว้ในมือ เธอมาหยุดอยู่หน้าร่างของผู้สูงวัยทั้งสอง
"มีอะไรเหรอจ้ะรีนา เรียกแม่มาถึงนี่เลย"
เสียงหวานของเรนอนปลอบลูกรัก มือลูบผมเบาๆอย่างปลอบขวัญ
ใบหน้าหวานยังคงเค้างดงามแต่หากว่าแก่ชราลงมากแล้ว ความจริงการที่หล่อนยังยืนตรงได้อย่างสง่างามและมีรูปร่างเพรียวราวนาฬิกาทรายก็น่าดีใจแค่ไหนแล้ว
"ทะเลาะกับโฮเรสเหรอ"
คิลพูดอย่างขัดใจ ความจริงเขาไม่เคยกินเส้นกับไอ้เจ้าลูกของเพื่อนคนนี้เอาเสียเลย
เพราะตั้งแต่เด็กมันคอยแกล้งเขาและร่ายมนต์ให้เขาเป็นหนูลองยาจนเกือบเดี้ยงหลายรอบ แถมยังตอแหลเป็นที่สุด!
ใครๆก็รู้ว่าคิลเป็นคนแรกที่ค้านการแต่งงานระหว่างรีนาเรียและโฮเรส
"เปล่าค่ะๆ" รีนาเรียยื่นทารกน้อยในอ้อมกอดให้คิลอุ้ม ร่างสูงรับมาอุ้มอย่างเงอะงะจนเรนอนอดขำน้อยๆไม่ได้
มือบางจูงมือผู้เป็นแม่เข้ามาในห้องครัว ที่ๆโต๊ะกินข้าวถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว
"หนูคาดว่าคงยังไม่กินข้าวกันทั้งคู่นะคะ" เธอยิ้ม
ฝีมือทางด้านการจัดการอาหารและการเข้าครัวเป็นเลิศ อย่างนี้สินะที่เรียกว่า 'เชื้อไม่ทิ้งแถว' ฝีมือทั้งหมดเธอไดรับถ่ายทอดมาจากเรนอนผู้เป็นแม่และได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเสียด้วย คิลและเรนอนนั่งลงบนเก้าอี้บุกำมะหยี่ตรงข้ามกับลูกสาว วางทารกน้อยไว้บนเตียงข้างโต๊ะอาหาร
"ลูกเรียกพวกเราทำไมเหรอ?"
คิลเอียงคอเล็กน้อย ปกติรีนาเรียจะไม่เคยเรียกพวกเขามา จะมีก็แต่ว่าขนกันทั้งครอบครัวไปเยี่ยมเขาที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ห่างจากนี้ซักประมาณสามเขา
"เรื่องท่านอาเฟรินกับท่านลุงคาโลน่ะค่ะ"
"พวกมันทำไมเหรอ"
หญิงสาวอ่อนวัยมีท่าทีลำบากใหญ่ มือเรียวบางของผู้เป็นแม่จึงเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปแตะมือหล่อนเบาๆเชิงปลอบโยน และยิ้มให้ คลายความหนักใจของหญิงสาวได้มากโข
"คือว่า เห็นเฟรอสเขียนจดหมายมา เรียกการรวมตัวของครอบครัววาเนบลีน่ะค่ะ หนูคิดว่าไม่น่าหนีพ้นเรื่องของอาเฟรินกับลุงคาโลแน่ค่ะ ก็เลยอยากปรึกษาพ่อกับแม่น่ะค่ะ ช่วงนี้เจ้าพี่นอนไม่ค่อยหลับเลย รู้สึกจะเป็นห่วงเรื่องนี้กันน่ะค่ะ"
จากคำบอกเล่าของลูกสาว ดวงตาสีม่วงสบตากันนิ่งอย่างหนักใจ
ทำไงได้ล่ะ เราจะบอกว่าคาโลผิดก็ไม่ได้ด้วยสิ
ทั้งในรุ่นของพวกเขา ไม่มีใครไม่รู้ว่าเฟรินกับคาโลรักกันมากแค่ไหน
ความรักของทั้งคู่ยิ่งใหญ่ราวตำนานคู่บ้านคู่เมืองที่รู้กันไปทั้งเอเดนและเดมอส
สมัยอยู่ในป้อมก็หวานเสียจนน้ำตาลเรียกปู่ นับว่าเป็นคู่ที่น่าอิจฉาที่สุดในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ ในฐานะคนกลางที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของทั้งสอง คิลย่อมรู้ดีว่าแต่ละคนคิดยังไง
คาโลนั้นต้องการให้เฟรินเป็นดั่งไข่ในหิน
ไม่ต้องรับรู้ถึงเรื่องอันวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด จึงโหมงานทั้งวันทั้งคืน ลืมวันลืมคืนอย่างที่เห็น
แต่ทั้งหมดก็เพราะรักเฟรินมากเกินไป
มากเกินไปจนกลัวจะซักวันจะเสียเธอไป
.
ทางเฟรินนั้นก็ว้าเหว่จากการที่คาโลไม่สนใจ
สนใจแต่งาน จนนึกน้อยจิตน้อยใจกักขังตนเอง คิดว่าตัวเองไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เพราะอยุ่กับตัวเองมากเกินไป จะเรียกว่าอาการประสาทอ่อนๆก็ได้ เธอไซโคตัวเองว่า คาโลเบื่อตัวเอง เลยเอาแต่นั่งโทษตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ทั้งหมดก็เพราะว่าเธอมีเวลาอยู่กับตัวเองมากไปจนคิดฟุ้งซ่าน
นานๆไปจะไม่ดีกับทั้งสองฝ่ายสินะ
คิลคิดเงียบๆ เรนอนเห็นทั้งพ่อทั้งลูกเงียบไปเลยอดไม่ไหว มือเรียววางลงบนทั้งสองมือของพ่อและลูก
จับมาวางประสานกัน รีนาเรียกับคิลมองเธออย่างงงงัน ใบหน้าอ่อนโยนยิ้มอ่อนๆ
"ถ้ามัวแต่เงียบคิดกันคนละอย่างมันจะช่วยอะไรไม่ได้จริงไหมจ๊ะ มาช่วยกันคิดดีกว่านะ ว่าเราจะช่วยให้สองคนนั้นดีกันยังไง"
คิลเลยเล่าให้ผู้เป็นลุกฟังถึงเรื่องที่คาโลกับเฟรินเป็นจากความเข้าใจของเขา
ทางพระราชวังของเดมอส ตรงเขตคาโนวาล
ใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่ข้างวังหลวงนั้น
มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ราชินีผู้เป็นใหญ่แห่งเดมอสเชื่อว่า กำลัง 'ทำสงคราม' กันอยู่ครบคันทั้งสามคน
ทั้งท่านเคานท์แห่งซาเรส ราชินีแห่งเจมิไน และราชาแห่งเวนอล แต่ทว่า
แทนที่ท่านเคานท์แห่งซาเรสจะนั่งบัญชาการอยู่บนหลังมังกร หรือไม่ก็นั่งอ่านแผนผังการรบ
ตอนนี้กลับหยิบคุ้กกี้เนยแสนอร่อยโยนเข้าปากและเคี้ยวกรวมๆ มืออีกข้างหนึ่งอ่านหนังสือยามว่าง เขานอนอยู่ใต้ต้นดอ๊คมองราชากับราชินีทำสงครามกัน
ทั้งราชาและราชินีแห่งเวนอลและเจมิไนทำสงครามกันอยู่จริงๆ แต่หาได้แย่งคาโนวาลกันไม่ หากแต่
แย่งแซนด์วิชทูน่าที่รีนาเรียทำมาให้โฮเรสกันอย่างเอาเป็นเอาตายแทนที่จะนั่งคุมทัพตีกัน
"เอามานะรอส! ฉันเป็นพี่นายนะ"
เจ้าของร่างบางที่ยืนเท้าใส่เอวยืนแหงนหน้ากล่าวด้วยท่าทางไซส์จัด
"แต่ฉันเป็นราชาแห่งเวนอล" คนที่โหนตัวอยู่บนกิ่งไม้ราวเด็กตะโกนกลับ
"โอ้ยยย แล้วมันเกี่ยวกันมั้ยน่ะ"
เฟลีเซียส่ายหน้าระอา มอง 'ราชาแห่งเวนอล' โหนตัวบนกิ่งไม้ราวลิง
เห้อ ชาวเมืองคงหมดศรัทธาในตัวราชาของพวกเขาก็งานนี้ล่ะ
"เกี่ยวเซ่! แต่แน่จริงก็ขึ้นมาเอาซี่ หรือว่าเจมิไนไม่มีน้ำยา หึหึ"
จัดการหย่อนระเบิดและโหนตัวขึ้นสูงอีก
เฟลีเซียเมื่อได้ยินเช่นนั้น ลืมซึ่งสิ่งที่ดีงานที่ถูกสั่งสอนมาแต่เล็ก
ถกกระโปรงยาวขึ้นเหนือเข่าจนถ้าแม่นมเห็นคงเป็นลมกันเป็นแถบ และเริ่มปีนป่ายของไป
มือเอื้อมรีบคว้าแซนด์วิชที่เฟรอสชูไว้เหนือหัว
"เอามานี่ๆๆๆๆ"
"แบร่ๆ แน่จริงก็ขึ้นมาส
เหวออออออ"
เท้าก้าวพลาดไปเหยียบกิ่งเล็ก
.
"ไม้
." ร่างสูงด้านล่างพึมพำเบาๆ เมื่อน้องชายคนเดียว
..
ตุ๊บ!
"
ล้ม"
เมื่อราชาแห่งเวนอลล้มลงมาก้นจ้ำเบ้าที่ผื้นหญ้า
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ" หญิงสาวคนเดียวหัวเราะร่า มือถือแซนด์วิชที่แย่งได้มาเมื่อครู่อย่างสุขสมใจ
และกัดกินอย่างอร่อย แถมส่งสายตาท้าทายไปให้น้องชายอีกด้วย
นี่ไงสงครามอันร้ายแรงตามคำกล่าวของคาไลล่า
.
ก๊อกๆ มือเรียวเล็กของคาไลล่า ทันเดอร์รัวลงบนประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ขลัง ของห้องทรงอักษร
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ส่ายหน้าสองสามครั้ง
นี่เธอกำลังจะทำสิ่งที่เกินตัวไปหรือเปล่าหนอ? การหลอกท่านพ่อของเธอไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
และไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าเอาเสียเลย
จะวกกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วสิ เอาล่ะ เพื่อท่านแม่ และท่านพ่อ และเพื่อพวกเราทุกคน
"เข้ามา" เสียงทรงพลังดังมากจากด้านใน
มือเรียวบาวที่ออกจะสั่นน้อยๆค่อยๆดันประตูบานใหญ่เข้าไปอย่างระมัดระวังมิให้สีหน้าหลุด
ดวงตาพยายามทำให้เป็นรอยกังวลและบีบน้ำตาให้คลอหน่วย
ทำแขนและร่างให้สั่นน้อยๆราวลูกนกให้สมบทบาท
หากว่าเฟรินได้มาเห็นลูกสาวของตน คงภูมิใจไม่น้อยที่สามารถเล่นละครระดับตุ๊กตาทองได้เลย!
"มีอะไรหรือคาไลล่า ไม่ได้เจอกันนานนะเรา" เสียงเย็นๆดังขึ้นอย่างเนิบนาบ
ดวงตาดวงโตสีนิลจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมคายของท่านพ่อ ผู้ซึ่งมีชัยเหนือกาลเวลา
เขามิได้แก่ลงเลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ตั้งแต่เมื่อคราวงานแต่งงานของเธอ
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะย่อตัวลงถอนสายบัวอย่างมีแบบแผน
คาโลผายมือ พลางลุกขึ้นมาจากเก้าอี้มาพยุงให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น
มือกร้านขาวซีดกรีดหยดน้ำตา(ปลอม) ที่คลอใบหน้าลูกสาวคนเล็ก เสียงที่ทอดออกมามีรอยอาทรยิ่ง
"มีอะไรหรือคาไลน์ ลูกถึงได้มาหาพ่อ รู้ไหมพ่อคิดถึงลูกมาก"
เมี่อได้รับความอบอุ่นจากอ่อมกอดที่คิดถึงและความห่วงใยของผู้เป็นพ่อคล้ายเต็มเต็มดวงใจของเธอที่เหมือนขวดโหลอันว่างเปล่า
เธอเกือบลืมแผนทั้งหมดจนสิ้น
จริงสิ แผน!
"ฝ่าบาทเพคะ" คาไลล่าดันตัวออกจากอ้อมกอด
คาโลมีสีหน้างงงวย แต่ครูหนึ่งก็กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม
"ท่านพี่เพคะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงจำได้หรือไม่ว่าพื้นที่ตรงคาโนวาลของเดมอสที่เป็นของท่านพี่โฮเรส"
คาโลนิ่วหน้าชั่วครู แต่ก็พยักหน้าออกมาเชิงบอกให้เล่าต่อ
"ท่านพี่เฟลีเซียต้องการพื้นที่ส่วนนั้นให้เจมิไนเพคะ จึงได้เปิดศึกชิงแผ่นดินกับท่านพี่โฮเรส คราวนี้ท่านพี่เฟรอสก็ต้องการผืนดินแผ่นนั้นเช่นกันเพคะ จึงได้เข้าไปร่วมรบด้วย หม่อมฉันกลัวหลือเกินเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวเสียท่านพี่ไป"
เสียงถูกบังคับให้สั่นระริก น้ำตาไหลออกมาราวกับรู้หน้าที่
หากแต่ดวงตาสีนิลกลับระริกเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อตัวเองเย็นชาลงเรื่อยๆ พร้อมกับอากาศรอบตัวที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ
"คาไลน์" ชายหนุ่มหันกลับไปที่โต๊ะทำงาน พลางรวบเอกสารที่ทำไว้เมื่อครู่เป็นกองอย่างระเบียบ
"เพคะ?"
"ลูกได้ไปบอกเฟรินหรือยัง"
"ยังเลยเพคะ ลูกตรงมาหาฝ่าบาททันที หม่อมฉันเป็นท่านแม่พลานามัยอ่อนแอ จึงไม่อยากรบกวนเพคะ"
"ดี คาไลน์ ลูกอยู่กับเฟริน ดูแลเขาให้ดีนะ แล้วก็อย่าพูดเรื่องนี้ให้เฟรินรู้เด็ดขาด"
"เพคะ"
"พ่อจะไปจัดการเรื่องนี้เอง" คาโลพูดพลางคว้าคทาพิพากษาที่วางอยู่เหนือเตาผิง และหันมา
"คาไลน์"
"เพคะ?"
"เรียกพ่อว่า พ่อเถอะ" วูบนั้นเองที่แววตาเย็นเหยียบกลับมีรอยเศร้าหมองดุจดั่งท่านแม่ของเธอไม่มีผิด
คาไลล่าพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วย บ้าจริง ทำไมนะ น้ำตาถึงได้ไม่ยอมหยุดไหล แล้วความรู้สึกอุ่นวาบนี่คือความรักจากพ่อที่เราไม่เคยสัมผัสใช่ไหม?
"เพคะ
ค่ะ พ่อ"
เธอรับเบาๆพลางมองแผ่นหลังสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อและเป็นกษัตริย์แห่งเดมอสหายไปเงียบๆ
เอาล่ะ หน้าที่ของเราเสร็จแล้ว คราวนี้เหลือแต่รอดูผล และ
ดูฝีมือท่านพี่แล้วล่ะ หึหึ
ว่าแล้วอดี่ตเจ้าหญิงแห่งเดมอสก็หันหลังออกจากประตูวังไป
ออกไปชมความงามของเดมอสที่ห่างหายมาเป็นสิบปี
และชื่นชมดอกอาลิสทาเรียที่เหมือนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดเงียบๆราวกับภาวนาให้ความรักของทุกคนเป็นไปได้ด้วยดี
ไอ้ลูกบ้า คิดว่าโตแล้วเหลิงงั้นหรือ!
เฟรินขบกรามแน่นขณะที่ระห่ำมังกรให้ไปถึงเขตคาโนวาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรารึนึกว่าโตกันแล้ว พูดกันรู้เรื่อง แต่นี่มาเล่นแย่งของกัน ใช้ชีวิตคนนับร้อยมาสังเวยแต่ความต้องการของตัวเอง เปิดศึกโดยไม่จำเป็น เห็นชีวินชาวเมืองของตัวเองไม่มีค่า นี่สิที่น่าจับสั่งสอนเสียหน่อย
มือปัดผมยาวสีเข้มที่มาปรกหน้าอย่างรำคาญใจ หันไปมองเฟเซียที่ขี่มังกรมากับนางกำนัลสองสามคนอย่างหัวเสีย
ทั้งๆที่บอกว่าไม่ต้องตามมาๆ บ้าเอ้ย
หญิงสาวเริ่มพาลไปทั่ว มือขวากระตุกเชือกมังกรแรงๆเมื่อเห็นทัศนียภาพด้านล่างอันคุ้นเคยของคาโนวาล
มืออีกข้างหนึ่งกระตุกแหวนแห่งเดมอสที่คล้องอยู่ที่คอตนเองไว้และสวมลงบนมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เวทย์ของเอวิเดสผู้เป็นนิรันดรก็เริ่มสำแดง
ใบหน้าหวานหยดย้อยงามราวเทพีเปลี่ยนเค้าโครงกลายเป็นใบหน้ากร้านหล่อเหลา แลดูเถื่อนกร้านโลก
แผลเป็นใต้ตาซ้ายก็กลับมาคมชัดอีกครั้ง
ผมยาวสลวยจรดบั้นท้ายก็หดสั้นขึ้นเหลือแค่ระต้นคอ
ร่างอรชรกลายเป็นร่างของชายหนุ่มหากแต่สะอดสะอง
เฟริน เดอเบอโรว์ ได้กลับมาแล้ว
ดีล่ะ อย่างนี้จะได้ไม่ยุ่งยาก เข้ามาในสภาพนี้ไม่มีใครรู้จักเรา ยิ่งถ้าพวกในวังหลวงมาเห็นเราในร่างหญิงมีอันได้แห่รอบเมืองแน่นอน
เธอคิดโดยที่ไม่ฟังเสียงวีดว้ายของเหล่านางกำนัล
ส่วนเฟเซียน่ะหรือ? เธอได้คาดการไว้แล้วว่าองค์ราชินีคงต้องทำแบบนี้เป็นแน่ จึงได้ขอร้องให้เฟรินเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าแบบชายก่อน ก่อนที่จะมา
หญิงสาวในร่างชายหนุ่มกระตุกเชือกให้มังกรลงจอดนิ่มๆที่ป่าใกล้ตลาดคาโนวาล เผื่อจะถามข้อมูลอะไรบ้าง
ทางด้านในตัววังหลวง
"ท่านพี่โฮเรส" เฟลีเซียกวักมือเรียกพี่ชายของตนเบาๆ ให้มาดูลูกแก้วใสที่อยู่ในมือของตน
เฟรอสที่หลับอยู่บนกิ่งไม้ก็โหนตัวลงมาร่วมวงด้วย
ภาพที่เผยขึ้นในลูกแก้วสีขุ่นคือภาพของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผมสีเข้มกำลังถามไถ่แม่ค้าทั้งหลายในตลาดเรื่องอะไรบางอย่าง
เฟรอสเห็นแล้วกรอกตาไปมา
"ท่านพี่กลายเป็นพวกบ้าผู้ชายหล่อแล้วเรอะ"
ผลัก! มือที่ตบลงบนตัวของเฟรอสดังๆหาใช่ของเฟลีเซียไม่แต่เป็นของโฮเรส
"แปลกจัง ทั้งที่ฉันร่ายเวทย์สะกดรอยตามท่านแม่ แต่ทำไมเป็นรูปผู้ชายคนนี้ล่ะ"
เฟลีเซียเกาคางเบาๆอย่างครุ่นคิด
โฮเรสจ้องใบหน้าในลูกแก้วอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้าครุ่นคิด ก่อนที่จะเกิดบังอ้อขึ้นมา
เมื่อเห็นสีหน้าของโฮเรส เฟรอสจึงถาม
"ท่านพี่โฮเรสนึกถึงใครออกเหรอ?"
"หื่อ" มือวางแก้วน้ำในมือลง ก่อนที่จะหันมาเล่าให้น้องทั้งสองคนของตนฟัง
"ฟังนะ พี่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอยีดอะไรมากหรอก แต่รู้สึกว่า ครั้งแรกที่ท่านแม่เข้ามาในเอดินเบิร์กแล้วเจอกับฝ่าบาท ตอนนั้นท่านแม่ในฐานะหัวขโมยเพศชาย ตอนนั้นท่านแม่พัดพรากจะท่านตามา ให้มาดัส เดอเบอโรว์ดูแล เลยถูกเลีย้งมาในร่างและฐานะผู้ชายมาตลอด"
"แล้วท่านแม่เกี่ยวอะไรกับนายนี่ล่ะ หรือว่ากิ๊กเก่าท่านแม่!!???"
ผลัก! คราวนี้ทั้งโฮเรสและเฟลีเซียพร้อมใจกันผลักหัวน้องชายปากมากอย่างระอา
"นายไม่ขัดซักนาทีจะตายไหมเนี่ย ท่านพี่เล่าต่อเลย"
"เอาล่ะ ต่อนะ แล้วหลังจากนั้นท่านแม่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง และเกิดสงครามเอเดนเดมอส ฝ่าบาทกับท่านแม่รักกัน แต่งงานกัน แล้วมีพวกเรา พอฉันเด็ก ฉันจำได้ว่าฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้อยู่ ตอนพวกนายเกิด ฝ่าบาททำอะไรก็ไม่รู้ แต่ท่านแม่ไม่เคยกลายเป็นผู้ชายอีกเลย"
"สรุปแล้ว ผู้ชายคนนั้นคือแม่เรางั้นสิ" เฟลีเซียสรุปเงียบๆ
"ไม่ยักรู้ว่าพวกเรามีแม่เป็นผู้ชาย" ผลัก!
"แล้วทำไมท่านแม่ถึงได้กลายเป็นแบบนั้นอีกล่ะ"
เฟลีเซียถามโฮเรสหลังจากที่จัดการน้องชายตัวดีเรียบร้อยแล้ว
โฮเรสทำหน้าครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวออกมา
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"ลองถามอาเมสดูสิ" อยู่ๆเฟรอสก็โพล่งขึ้นมา "หรือไม่ก็ถามลุงโร"
"ความคิดดีครั้งแรกนี่รอส" หญิงสาวเหน็บน้อยๆ แต่ก็เห็นด้วย
หันไปสบตาพี่ชาย เชิงถาม
โฮเรสพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวจึงเริ่มขมุบขมิบปากร่ายเวทย์คล่องบรื๋อผ่านริมฝีปากบาง
ลูกแก้งในมือค่อยๆลอยขึ้นหมุนคว้างในอากาศก่อนที่จะขยายขึ้น ขยายขึ้น และขยายขึ้นเรื่อยๆ
ใหญ่จนมีขนาดเท่าคนหนึ่งคน หลังจากนั้นลูกแก้วใบโตก็ค่อยๆบิดเบี้ยวกลายเป็นรูปเป็นร่าง ค่
อยๆปั้นเป็นรูปอรชรของผู้หญิงคนหนึ่ง ภาพค่อยๆละเอียดขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นคนที่ทำจากแก้วขนาดเท่าของจริง เป็นรูปของ อาเมอรัลต์
หญิงสาวค่อยๆหันหน้ามา
"อ้าว ท่านพี่เฟลีเซีย สบายดีหรือเปล่า"
รูปปั้นแก้วทักมาอย่างเป็นกันเองราวกับคนจริงๆไม่มีผิดเพี้ยนหากแต่ทำจากแก้ว!
"อื้อจ้า สบายดี พี่แค่จะมาถามข้อมูลอะไรนิดหน่อยน่ะ พอช่วยได้ไหม?"
เฟลีเซีย ตอบกลับยิ้มๆ เธอเอ็นดูรุ่นน้องคนนี้มาตลอด และยินดีอย่างยิ่งเมื่อรุ่นน้องที่น่ารักคนนี้แต่งงานกับน้องชายของเธอเอง
"ได้สิ ข้อมูลเรื่องอะไรล่ะ ถ้าเรื่องที่ยากเกิน อาเมสก็ไม่รู้หรอก ต้องไปถามท่านพ่อ"
ความรอบรู้ของอาเมอรัลต์เป็นที่โจษจันในเอดินเบิร์กยิ่งนัก เธอเป็นดั่งห้องสมุดเคลื่อนที่ และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเรียนที่รอบรู้ที่สุดในโรงเรียน
"ได้แน่นอนจ๊ะ พี่ต้องการถามเรื่องการกลายร่างเป็นชายของท่านแม่ของพี่น่ะ อาเมสพอรู้ไหมว่าท่านแม่ทำยังไง"
อาเมอรัลต์มีท่าทีหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างช้าๆ ค่อนข้างไม่แน่ใจ
"มันเป็นเรื่องก่อนอาเมสเกิด เลยรู้ไม่ค่อยละเอียดน่ะ รู้สึกว่าจะเป็นเวทมนต์ของท่านเอวิเดส กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์ก่อนของเดมอส ท่านประทานแหวนให้พระราชธิดาคนเดียวไว้สำหรับการกลายร่างกลับเป็นผู้ชาย สำหรับความปลอดภัยจากการปองร้ายเมื่อสมัยท่านอายังเรียนอยู่ในเอดินเบิร์ก"
เฟลีเซียยิ้มตอบให้ ข้อมูลแค่นี้คงเพียงพอแล้วล่ะ
ที่จะทำให้ท่านแม่กลับสภาพผู้หญิงก่อนที่ฝ่าบาทจะตามมาถึง
"ขอบใจจ๊ะ แค่นี้ก็พอแล้ว จะคุยกับรอสไหม?"
"ไม่เอาล่ะ คงยุ่งกันมากนะ ฝากบอกรอสด้วยแล้วกันว่ารีบๆกลับบ้านมาด้วยล่ะ ลาก่อนค่ะท่านพี่"
และแล้วลูกแก้วก็ค่อยๆบุบสลายและหดตัวกลายเป็นลูกแก้วขนาดเท่าเดิม
"จะเอายังไงล่ะทีนี้ เราต้องแย่งแหวนมาจากท่านแม่ให้ได้" โฮเรสออกความเห็น
"แน่ล่ะสิ ขนาดสภาพผู้หญิงแค่ประดาบด้วย ฉันยังไม่เคยโค่นท่านได้เลยนะ"
เฟรอสบ่นหงุงหงิง
กษัตริย์หนุ่มแห่งเวนอลได้รับชื่อว่าเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดในเอเดน
แต่หารู้ไม่ว่า นักดาบผู้นี้ไม่เคยเอาชนะท่านแม่ของตนได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว!
รู้ถึงไหนอับอายถึงนั้นเลยล่ะ
"เอาล่า มานี่ๆ ล้อมวงเข้ามา"
เฟลีเซียกวักมือให้ทั้งสองเอียงหูเข้ามาหา
ก่อนที่จะกระซิบแผนการบ้าระห่ำที่เพิ่งคิดได้เมื่อครู่อย่างสดๆร้อนๆ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
new announcement
ในที่สุด! ใกล้จบแล้วค่า เหลืออีกแค่ครึ่งเรื่อง ที่ยังคงดองต่อไป >.<
===============================================================================
อัพให้แล้วนะคะ ^^ อัพให้เพิ่ม10% เดี๋ยวมาอัพต่อค่าตอนนี้ปิดเทอมแล้ว ^^
อ้อจริงสิ ตอนนี้กำลังจะวาดภาพประกอบ อยากเห็นภาพของใครเม้นท์กันเข้ามาด้วยนะคะ
1. เฟริน คาโล (อันนี้อย่าเลือกเลย เบื่อแล้ว)
2. พี่น้องวาเนบลี
3. คาไลล่า กับ คริสตเฟอร์
4. เฟลีเซีย กับ ราเวส
5. เฟรอส กับ อาเมอรัลต์
6. โฮเรส กับ รีนาเรีย
7. อื่นๆ (รีเควส)
ช่วงนี้ว่างจัดเลยกะจะวาด
ช่วยเลือกกัน้วยนะคะ อ้อ แล้วก็เม้นท์ด้วย ^^
=======================================================
announcement!!!!!
อาจจะลบเรื่องนี้แล้วเอาไปทำเป็นฟิคยาวนะคะ =_= มันยาวมากเกินจะเป็นฟิคสั้น
=_=
ผลงานอื่นๆ ของ Sei~ar ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Sei~ar
ความคิดเห็น